การประกาศเจตนารมณ์ของกฎหมายเปรียบเทียบกับการติเตียนอันนำไปสู่การบัญญัติพระวินัย
เมื่อใดที่ปรากฏว่า
กฎหมายไม่ชัดเจน หรือมีช่องว่าง ซึ่งช่องว่างนี้เกิดจากการพัฒนาของคนที่จะพยายามเลี่ยงกฎหมายก็ดี
หรือช่องว่างที่เกิดจากการบัญญัติกฎหมายที่ไม่รัดกุมก็ดี จะต้องมีการตีความกฎหมาย ซึ่งการตีความกฎหมายนี้ ต้องตีความจากเจตนารมณ์ของกฎหมายในเรื่องนั้น
หลักเกณฑ์ในการตีความกฎหมาย[1]
หลักเกณฑ์ในการตีความกฎหมาย อาจแยกเป็น 2 กรณีคือ การตีความกฎหมายอาญาและการตีความกฎหมายแพ่ง
การตีความกฎหมายอาญา
เนื่องจากกฎหมายอาญาเป็นกฎหมายที่บัญญัติว่าการกระทําหรืองดการกระทําใดเป็นความผิด
และกําหนดโทษไว้ดังนั้น กฎหมายอาญาต้องตีความโดยเคร่งครัด
กล่าวคือต้องตีความเฉพาะการกระทําหรืองดเว้นการกระทําเท่าที่ระบุไว้ในกฎหมายเท่านั้นจึงเป็นความผิด
ศาลจะตีความกฎหมายอาญาในทางขยายความไปเอาผิดกับการกระทําซึ่งไม่เป็นความผิดมาลงโทษไม่ได้หรือจะตีความย้อนหลังไปลงโทษการกระทําซึ่งขณะกระทําไม่เป็นความผิดไม่ได้เช่นเดียวกัน
ขณะเดียวกันศาลจะตีความไปเพิ่มโทษผู้กระทําความผิดให้รับโทษหนักขึ้นก็ไม่ได้
เช่นการหลอกให้ผู้อื่นส่งแรงงานให้ย่อมไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 เพราะแรงงานไม่ใช่ทรัพย์สิน
การตีความกฎหมายแพ่ง
วิธีการตีความตามกฎหมายแพ่ง
มีการบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและกฎหมายพาณิชย์ มาตรา 4 วรรคแรก ความว่า “กฎหมายนั้นต้องใช้ในบรรดากรณีซึ่งต้องด้วยบทบัญญัติใด ๆ
แห่งกฎหมายตามอักษรหรือตามความมุ่งหมายของบทบัญญัตินั้น ๆ จากบทบัญญัตินี้ แสดงให้เห็นว่ากฎหมายที่จะต้องตีความนั้นได้แก่กฎหมายลายลักษณ์อักษร
และแบ่งการตีความออกเป็น 2 ประการ ได้แก่ การตีความตัวอักษร
และการตีความตามเจตนารมณ์ประการหนึ่ง. การตีความตามตัวอักษรประการหนึ่ง
เพื่อให้หยั่งทราบความหมายของกฎหมายจากตัวอักษรที่บัญญัติไว้
๑.๑ ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้ด้วยภาษาธรรมดา
ก็ต้องเข้าใจว่ามีความหมายตามธรรมดาของถ้อยคํานั้น ๆ ตามที่บุคคลทั่วไปเข้าใจกัน
ในกรณีมีข้อสงสัยว่า ถ้อยคํานั้น ๆ มีความหมายว่าอย่างไร
ก็ต้องค้นหาความหมายจากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน
ซึ่งศาลมักใช้เป็นหลักในการตีความมาเกือบร้อยปีแล้ว
หรือค้นหาจากบทบัญญัติที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษ
ดังกรณีของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ซึ่งในชั้นต้นร่างขึ้นเป็นภาษาอังกฤษแล้วจึงแปลเป็นภาษาไทย
ตัวอย่าง เช่น คําว่า “แพ”แปลมาจากคําว่า “floating
house” ซึ่งหมายถึงเรือนแพ หรือคําว่า “อสังหาริมทรัพย์”แปลมาจากคําว่า “immovable
property” ซึ่งแปลว่าทรัพย์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้ หรือ “สังหาริมทรัพย์” แปลมาจากคําว่า “movable
property” ซึ่งหมายถึงทรัพย์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้ เป็นต้น
ที่สําคัญอีกประการหนึ่งคือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ ๑ และ
๒บัญญัติใช้เป็นกฎหมายตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๖ ถ้อยคํา
สํานวนภาษาไทยเมื่อครั้งรัชกาลที่ ๖ อาจมีความแตกต่างจากภาษาไทยในปัจจุบันบ้าง
ดังนั้น การตีความกฎหมายจึงอาจต้องตีความตามความเข้าใจในขณะบัญญัติกฎหมาย
๑.๒
ในกรณีบทบัญญัติกฎหมายใช้ภาษาเทคนิคหรือวิชาการก็ต้องเข้าใจตามความหมายทางเทคนิคหรือวิชาการนั้นๆ
เช่น ศัพท์ทางแพทย์ทางเภสัชกรรม ทางวิศวกรรมหรือสถาปัตยกรรม
ก็ต้องเข้าใจตามความหมายตามวิชาชีพนั้น ๆ เป็นต้น
๑.๓
ในกฎหมายเองบางครั้งผู้บัญญัติกฎหมายอาจมีความประสงค์ที่จะให้ถ้อยคําบางคํามีความหมายเฉพาะ
หรือมีความกว้างกว่าความเข้าใจของบุคคลทั่วไปจึงอาจมีการกําหนดคําวิเคราะห์ศัพท์หรือบทนิยาม
(definition) ไว้ เช่น ในมาตรา ๑ (๕)
ของประมวลกฎหมายอาญา คําว่า “อาวุธ” หมายความรวมถึงสิ่งซึ่งไม่เป็นอาวุธโดยสภาพ
แต่ซึ่งได้ใช้หรือเจตนาจะใช้ประทุษร้ายร่างกายถึงอันตรายสาหัสอย่างอาวุธ ดังนั้น
ตามคําวิเคราะห์ศัพท์คําว่า อาวุธ จึงหมายถึง(๑) สิ่งซึ่งเป็นอาวุธโดยสภาพ (๒)
สิ่งซึ่งไม่ใช่อาวุธโดยสภาพ
แต่ซึ่งได้ใช้ประทุษร้ายแก่ร่างกายถึงอันตรายสาหัสอย่างอาวุธ และ (๓)
สิ่งซึ่งไม่ใช่อาวุธโดยสภาพแต่เจตนาจะใช้ประทุษร้ายร่ายกายถึงอันตรายสาหัสอย่างอาวุธข้อพึงระมัดระวัง
คือว่า
คําวิเคราะห์ศัพท์หรือคํานิยามของกฎหมายใดย่อมใช้ได้เฉพาะกับกฎหมายนั้นเท่านั้น
จะนําไปใช้กับกฎหมายอื่นย่อมไม่ได้แนวทางในการค้นหาเจตนารมณ์หรือความมุ่งหมายของกฎหมาย
ดูได้จากคําปรารภของกฎหมาย ซึ่งปัจจุบันคําปรารภของกฎหมายมักจะมีข้อความสั้น ๆ
ซึ่งไม่สามารถแสดงให้เห็นเจตนารมณ์และความมุ่งหมายของกฎหมายแต่ประการใด
เว้นแต่คําปรารภในรัฐธรรมนูญฉบับต่าง ๆ ในอดีต
รวมทั้งฉบับปัจจุบันได้แสดงให้เห็นเจตนารมณ์ซึ่งสามารถนําไปใช้ตีความบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญฉบับนั้น
ๆ ได้บ้างบางครั้งการค้นหาเจตนารมณ์หรือความมุ่งหมายของกฎหมาย
อาจดูได้จากบันทึกหลักการและเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติ
ตลอดบันทึกของรัฐสภาในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินั้น ๆ
โดยเฉพาะบันทึกของรัฐสภาในวาระการพิจารณาเรียงมาตราประการสุดท้าย
การค้นหาเจตนารมณ์ของกฎหมาย อาจทราบได้จากหมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติอย่างไรก็ตาม ตามปกติการตีความกฎหมายจะต้องเป็นการตีความทั้งตัวอักษรและตามเจตนารมณ์เสียก่อน
เพื่อหยั่งทราบความมุ่งหมายอันแท้จริงของกฎหมาย
หากการตีความทั้งสองนั้นมีความขัดแย้งกัน ต้องถือเอาการตีความตามเจตนารมณ์เป็นใหญ่
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดจากกฎหมายปัจจุบันและกฎหมายโบราณ เช่น
ตามพระราชบัญญัติต่างๆ
ยกตัวอย่าง พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. ๒๕๓๙ ซึ่งมีเจตนารมณ์ของกฎหมายระบุไว้ดังนี้
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่พระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี
พ.ศ. ๒๕๐๓ ได้ประกาศใช้บังคับมาเป็นเวลานาน
บทบัญญัติที่มีอยู่โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทกำหนดโทษไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน
และโดยที่การค้าประเวณีมีสาเหตุสำคัญมาจากสภาพเศรษฐกิจและสังคม
ผู้กระทำการค้าประเวณีส่วนมากเป็นผู้ซึ่งด้อยสติปัญญาและการศึกษา
สมควรลดโทษผู้กระทำการค้าประเวณี
และเปิดโอกาสให้บุคคลเหล่านั้นได้รับการคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ
ไม่ว่าจะเป็นการให้การอบรมฟื้นฟูจิตใจ การบำบัดรักษาโรค
การฝึกอบรมและพัฒนาอาชีพตลอดจนพัฒนาคุณภาพชีวิตและในขณะเดียวกันเพื่อเป็นการปราบปรามการค้าประเวณีและเพื่อคุ้มครองบุคคลโดยเฉพาะเด็กและเยาวชนที่อาจถูกล่อลวงหรือชักพาไปเพื่อการค้าประเวณี
สมควรกำหนดโทษบุคคลซึ่งกระทำชำเราโสเภณีเด็กในสถานการค้าประเวณี
บุคคลซึ่งหารายได้จากการค้าประเวณีของเด็กและเยาวชน และบิดา มารดา หรือผู้ปกครอง
ซึ่งมีส่วนร่วมรู้เห็นเป็นใจในการจัดหาผู้อยู่ในความปกครอง
ไปเพื่อการค้าประเวณีกับให้อำนาจศาลที่จะถอนอำนาจปกครองของบิดา มารดา
หรือผู้ปกครองของผู้กระทำความผิดซึ่งเป็นเด็กเพราะเหตุที่มีส่วนร่วมรู้เห็นเป็นใจให้ผู้อยู่ในความปกครองกระทำการค้าประเวณี
นอกจากนั้น ในปัจจุบันปรากฏว่าได้มีการโฆษณาชักชวนหรือแนะนำตัวทางสื่อมวลชนในลักษณะที่เห็นได้ว่าเป็นการเรียกร้องการติดต่อในการค้าประเวณีกันอย่างแพร่หลาย
สมควรกำหนดให้การกระทำดังกล่าวเป็นความผิด จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
เมื่อย้อนกลับไปดูในอดีต การค้าประเวณีไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมายและไม่ใช่เรื่องผิดศีลธรรม
เพราะมิเช่นนั้น คงไม่มีโสเภณีที่บรรลุพระอริยบุคคลในขั้นต่างๆ [2] ในสมัยพุทธกาล
มีหญิงโสเภณีที่บรรลุอรหันตผลหลายท่านด้วยกัน นอกจากนางสิริมาที่บรรลุโสดาบันแล้ว
ได้แก่
๑) นางอัมพปาลี :
เกิดใต้ต้นมะม่วงในอุทยานของพระราชาในเมืองไพศาลี
ได้รับการเลี้ยงดูจากผู้ดูแลส่วนมะม่วง จึงได้มีชื่อว่า “อัมพปาลี” แปลว่าผู้ดูแลสวนมะม่วง
เมื่อเติบโตขึ้นเป็นผู้ที่มีรูปร่างหน้าตาดี
และมีความสามารถในด้านดนตรีและนาฏศิลป์ จึงได้หันไปเอาดีในการประกอบอาชีพโสเภณี
ครั้งหนึ่ง เธอทราบว่าพระพุทธเจ้าได้เสด็จไปยังโกฏิคาม
จึงต้องการไปเฝ้าเพื่อฟังธรรม หลังจากได้เฝ้าและฟังธรรมแล้ว
เกิดความเลื่อมใสจึงได้นิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมทั้งภิกษุสงฆ์ไปฉันภัตตาหาร
ต่อมาเจ้าลิจฉวีได้เข้ามานิมนต์พระพุทธเจ้าเช่นเดียวกัน
แต่พระองค์ไม่ทรงรับเพราะได้รับนิมนต์จากนางอัมพปาลีไว้แล้ว ตรงนี้แสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงให้ความเสมอภาคแก่คนทุกชนชั้นและสาขาอาชีพ
มิได้เลือกว่าผู้นิมนต์จะเป็นคนชั้นใด และมิได้ดูถูกบุคคลผู้นั้นประกอบอาชีพโสเภณี
ต่อมาเธอได้บวชเป็นภิกษุณีและได้เป็นพระอรหันต์ในที่สุด
ต่อมาเธอได้ถวายสวนมะม่วงให้เป็นวัดในพระพุทธศาสนา ชื่อว่า “อัมพปาลีวัน” อีกด้วย
๒) นางอัฑฒกาสี :
เป็นลูกสาวเศรษฐีชาวเมืองพาราณสี แคว้นกาสี
ได้เป็นโสเภณีเพราะวิบากกรรมในอดีตชาติต่อมาเกิดเบื่อหน่ายในชีวิตฆราวาส
ต้องการบวชจึงเดินทางไปยังเมืองสาวัตถี ระหว่างทางนั้นมีพวกนักเลงซุ่มอยู่
จึงไม่สามารถเดินทางไปถึงเมืองสาวัตถีได้ พระพุทธองค์ทรงทราบข่าว
จึงทรงอนุญาตให้บวชโดยการส่งทูตไปเป็นตัวแทน เรียกการบวชแบบนี้ว่า “ทูเตนอุปสัมปทา” เธอเป็นภิกษุณีเพียงรูปเดียวที่บวชด้วยวิธีนี้
เมื่อเธอได้บวชเป็นภิกษุณีแล้วปฏิบัติธรรมไม่นานก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในที่สุด
๓) นางปทุมาวดี : เป็นโสเภณีอยู่ในเมืองอุชเชนี
พระเจ้าพิมพิสารกษัตริย์แห่งกรุงราชคฤห์ทรงทราบกิตติศัพท์จึงเสด็จไปเสวยสุขกับเธอ
ต่อมาเธอก็ตั้งครรภ์ พระเจ้าพิมพิสารจึงรับสั่งว่า หากเด็กในท้องเป็นผู้ชาย
เมื่อโตขึ้นให้นำไปเฝ้าที่กรุงราชคฤห์ เธอคลอดลูกเป็นชาย ได้ตั้งชื่อว่า “อภัย” และได้ส่งไปเฝ้าพระเจ้าพิมพิสารในเวลาต่อมา
พระองค์ทรงเลี้ยงเด็กคนนี้เช่นเดียวกับพระโอรสองค์อื่นๆ
ต่อมาอภัยได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนา
มีโอกาสได้เทศน์โปรดมารดาคือนางปทุมาวดี มารดาได้ฟังแล้วมีศรัทธาอย่างแรงกล้า
จึงได้ออกบวชเป็นภิกษุณีและสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในเวลาต่อมา
๔) นางวิมลา : เกิดที่เมืองไพศาลี
มารดาเป็นโสเภณี เมื่อโตเป็นสาว วันหนึ่งได้เห็นพระมหาโมคคัลลานะเดินบิณฑบาตอยู่
ได้เกิดหลงรักพระมหาโมคคัลลานะ
จึงเดินตามไปจนถึงกุฏิแล้วพยายามหาเรื่องสนทนาด้วยเพื่อยั่วยวนท่าน
แต่ท่านเป็นพระอรหันต์จึงไม่หวั่นไหวและทราบเจตนาของเธอ จึงเตือนเธอจนเธอได้สติ
เธอรู้สึกอับอายกับพฤติกรรมที่แสดงออกมา จึงเลิกประกอบอาชีพโสเภณีตั้งแต่นั้นมา
ต่อมาได้ออกบวชเป็นภิกษุณีและได้บรรลุอรหัตผล
ในอดีต ประเทศไทยเราก็เคยเปิดให้มีการค้าประเวณีโดยถูกต้องตามกฎหมาย
นโยบายและกฎหมายเกี่ยวกับการค้าประเวณีของไทยเพิ่งจะเริ่มขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทร์รมหาจุฬาลงกรณ์
โดยพระองค์ได้ทรงตราพระราชบัญญัติฉบับหนึ่ง ชื่อ
"พระราชบัญญัติป้องกันสัญจรโรค รัตนโกสินทรศก ๑๒๗ เหตุผลในการประกาศใช้มีว่า
"...ด้วยทรงพระราชดำริเห็นว่า
ทุกวันนี้หญิงบางจำพวกประพฤติตนอย่างที่เรียกว่าหญิงนครโสเภณี
มีหัวหน้ารวบรวมกันตั้งโรงหาเงินขึ้นหลายตำบล แต่ก่อนมาการตั้งโรงหญิงนครโสเภณี
นายโรงช่วยไถ่หญิงมาเป็นทาสรับตั๋วจากเจ้าภาษีแล้วตั้งเป็นโรงขึ้น
ครั้นต่อมาได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลิกทาสเสียแล้ว
หญิงบางจำพวกที่สมัครเข้าเป็นหญิงนครโสเภณีก็รับตั๋วจากเจ้าภาษีแล้วมีหัวหน้ารวบรวมกันตั้งขึ้นในท้องที่โรงอันควรบ้างมิควรบ้าง
กระทำให้มีเหตุเกิดการวิวาทขึ้นเนือง ๆ อีกประการหนึ่ง
หญิงบางคนป่วยเป็นโรคซึ่งอาจจะติดต่อเนื่องไปถึงผู้ชายที่คบหาสมาคมได้
ก็มิได้มีแพทย์ตรวจตรารักษาโรคร้ายนั้น อาจจะติดเนื่องกันไปจนถึงเป็นอันตรายแก่ร่างกายและชีวิตมนุษย์เป็นอันมาก
และยังหาได้มีกฎหมายและข้อบังคับอย่างใดสำหรับจะป้องกันทุกข์โทษภัยแห่งประชาราษฎรทั้งหลายเหล่านี้ไม่
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้สืบไปดังนี้..."
สาระสำคัญของพระราชบัญญัติป้องกันสัญจรโรค
รัตนโกสินทรศก ๑๒๗ มีว่า หญิงนครโสเภณีให้เป็นได้แต่โดยใจสมัคร
ใครจะบังคับผู้อื่นหรือล่อลวงมาให้เป็นหญิงนครโสเภณีมิได้เลย
มีโทษตามพระราชกำหนดลักษณะข่มขืนล่วงประเวณี รัตนโกสินทรศก ๑๑๘
แต่
พระราชบัญญัติปราบปรามการค้าประเวณีตามกฎหมายปัจจุบัน มีขึ้นเพื่อปกป้องคุ้มครองโสเภณีเด็ก
หรือผู้ถูกล่อลวงมาเป็นโสเภณี โดยไม่ได้แยกแยะว่า โสเภณีที่ไม่ใช่โสเภณีเด็ก
และเป็นโสเภณีด้วยความสมัครใจ ควรจะถูกแยกไว้ และมีการขึ้นทะเบียน ตรวจโรค
จ่ายภาษี เมื่อโสเภณีเป็นอาชีพที่ต้องหลบซ่อน รายได้ของหญิงโสเภณีจึงเป็นรายได้ที่ไม่อยู่ในขอบข่ายแห่งการเสียภาษีด้วย
ไม่เป็นไปตามหลักการขยายฐานภาษีที่ดี
การขยายฐานภาษีที่ดีต้องเป็นการขยายฐานภาษีในแนวราบ
คือนำบุคคลที่อยู่นอกระบบภาษีเข้ามาในระบบภาษีให้มากที่สุด
มิใช่การขยายในแนวดิ่งอย่างที่กฎหมายภาษีอากรของเราเป็นอยู่ในทุกวันนี้ นอกจากนี้เมื่อโสเภณีถูกโกงค่าตัว กลับเรียกร้องอะไรไม่ได้เลย
หากนำความเข้าแจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจ ก็จะถูกจับด้วยข้อหาค้าประเวณี
เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป แนวคิดเริ่มเปลี่ยน จุดเปลี่ยนที่ทำให้ประเทศไทยหันมาปิดกั้นการค้าประเวณีน่าจะได้รับอิทธิพลมาจากกลุ่ม NGO ที่เห็นว่า มนุษย์ไม่ใช่ทรัพย์ ไม่สามารถซื้อขายกันได้ แต่ทั้งนี้
พวกเขาไม่ได้คำนึงว่า หญิงโสเภณีไม่ได้ขายความเป็นมนุษย์
แต่ขายบริการเหมือนช่างตัดผม หมอนวดแผนโบราณ หรือแม้แต่แพทย์ ทนายความ
ก็เป็นการขายบริการมิใช่ขายสินค้าแต่อย่างใด
ในสมัยพุทธกาล ก่อนพระพุทธเจ้าจะทรงบัญญัติพระวินัย
จะทรงประกาศเจตนารมณ์ด้วยการติเตียนภิกษุต้นบัญญัติก่อน การติเตียนเช่นนั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อชี้ในข้อผิด
และเหตุผลที่ไม่ควรกระทำ
เพื่อให้เป็นแนวทางแก่พระวินัยธรในการพิจารณาปรับอาบัติตามพระวินัยต่อไป
ยกตัวอย่างเช่น
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า[3] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุณีถุลลนันทารู้อยู่ว่าภิกษุณีล่วงอาบัติปาราชิก
ไฉนจึงไม่โจทด้วยตน ไม่บอกแก่คณะ การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใส
ของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว
โดยโดยที่แท้ การกระทำของเธอนั่น
เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว ...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกภิกษุณี
จงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ว่า ดังนี้ พระบัญญัติ
อนึ่ง ภิกษุณีใด รู้อยู่ว่าภิกษุณีล่วงอาบัติปาราชิก
ไม่โจทด้วยตน ไม่บอกแก่คณะ ในเวลาที่ภิกษุณีนั้นยังดำรงเพศอยู่ก็ดี
เคลื่อนไปแล้วก็ดี ถูกนาสนะแล้วก็ดี ไปเข้ารีดเดียรถีย์เสียก็ดี
ภายหลังนางจึงบอกอย่างนี้ว่า แม่เจ้า เจ้าข้า
เมื่อก่อนดิฉันรู้จักภิกษุณีนั่นได้ดีทีเดียวว่า นางเป็นพี่หญิง น้องหญิง มีความประพฤติเช่นนี้และมีความประพฤติเช่นนี้แต่ดิฉันไม่โจทด้วยตน
ไม่บอกแก่คณะ แม้ภิกษุณีนี้ก็เป็นปาราชิก ชื่อวัชชปฏิจฉาทิกาหาสังวาสมิได้.
การเขียนคำพิพากษา
ควรเขียนโดยระบุเจตนารมณ์ของกฎหมายประกอบการวินิจฉัยการกระทำของจำเลยทุกครั้งว่าผิดหรือไม่ผิดด้วยเหตุใด
คำพิพากษาเช่นนั้นจึงถือเป็นคำพิพากษาที่เจือสมตามหลักนิติธรรม
น้อยนักที่เราจะเห็นคำพิพากษาฎีกาอธิบายการกระทำความผิดของจำเลยว่าผิดหรือไม่ผิดด้วยเหตุผลที่ประกอบด้วยเจตนารมณ์ของกฎหมาย
ถ้าเจตนารมณ์ของกฎหมายไม่สำคัญ กฎหมายแต่ละฉบับจะมีการประกาศเจตนารมณ์ไว้เพื่อเหตุผลใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่10848/2553 พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ.2522 มาตรา 64 มุ่งหมายที่จะควบคุมผู้ขับรถบนทางหลวงหรือทางสาธารณะ
การที่จำเลยขับรถกระบะภายในบริเวณโรงเรียนบ้านคลองสุดซึ่งมิใช่บนทางหลวงหรือทางสาธารณะที่กำหนดให้รถสัญจรไปมา
แม้จำเลยจะไม่ได้รับใบอนุญาตขับรถ
การกระทำของจำเลยก็ไม่ต้องด้วยองค์ประกอบความผิดดังกล่าว
จะเห็นว่า คำพิพากษาฎีกาฉบับนี้
ศาลฎีกาอาศัยเจตนารมณ์ของกฎหมายเพื่อวินิจฉัยการกระทำของจำเลย
ซึ่งเป็นการถูกต้องตามระเบียบวิธีการเขียนคำพิพากษา
และเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการศึกษาของนักเรียนกฎหมาย
[1] การใช้และการตีความกฎหมาย , Lw 102 ,
โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง
[2] ''พุทธจริยศาสตร์กับปัญหาโสเภณี'' , พระมหาสมบูรณ์ วุฑฺฒิกโร
[3] พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๓ ภิกขุนีวิภังค์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น