ธรรมะกับกฏหมาย

วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ขั้นตอนการบัญญัติพระวินัย เปรียบเทียบกับการขั้นตอนบัญญัติกฏหมาย ตอนที่ ๓

  


   การประกาศเจตนารมณ์ของกฎหมายเปรียบเทียบกับการติเตียนอันนำไปสู่การบัญญัติพระวินัย

      เมื่อใดที่ปรากฏว่า กฎหมายไม่ชัดเจน หรือมีช่องว่าง ซึ่งช่องว่างนี้เกิดจากการพัฒนาของคนที่จะพยายามเลี่ยงกฎหมายก็ดี หรือช่องว่างที่เกิดจากการบัญญัติกฎหมายที่ไม่รัดกุมก็ดี จะต้องมีการตีความกฎหมาย  ซึ่งการตีความกฎหมายนี้ ต้องตีความจากเจตนารมณ์ของกฎหมายในเรื่องนั้น

หลักเกณฑ์ในการตีความกฎหมาย[1]
หลักเกณฑ์ในการตีความกฎหมาย อาจแยกเป็น 2 กรณีคือ  การตีความกฎหมายอาญาและการตีความกฎหมายแพ่ง

การตีความกฎหมายอาญา
เนื่องจากกฎหมายอาญาเป็นกฎหมายที่บัญญัติว่าการกระทําหรืองดการกระทําใดเป็นความผิด
และกําหนดโทษไว้ดังนั้น กฎหมายอาญาต้องตีความโดยเคร่งครัด กล่าวคือต้องตีความเฉพาะการกระทําหรืองดเว้นการกระทําเท่าที่ระบุไว้ในกฎหมายเท่านั้นจึงเป็นความผิด ศาลจะตีความกฎหมายอาญาในทางขยายความไปเอาผิดกับการกระทําซึ่งไม่เป็นความผิดมาลงโทษไม่ได้หรือจะตีความย้อนหลังไปลงโทษการกระทําซึ่งขณะกระทําไม่เป็นความผิดไม่ได้เช่นเดียวกัน ขณะเดียวกันศาลจะตีความไปเพิ่มโทษผู้กระทําความผิดให้รับโทษหนักขึ้นก็ไม่ได้ เช่นการหลอกให้ผู้อื่นส่งแรงงานให้ย่อมไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 เพราะแรงงานไม่ใช่ทรัพย์สิน

การตีความกฎหมายแพ่ง
วิธีการตีความตามกฎหมายแพ่ง มีการบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและกฎหมายพาณิชย์ มาตรา 4 วรรคแรก ความว่า “กฎหมายนั้นต้องใช้ในบรรดากรณีซึ่งต้องด้วยบทบัญญัติใด ๆ แห่งกฎหมายตามอักษรหรือตามความมุ่งหมายของบทบัญญัตินั้น ๆ จากบทบัญญัตินี้ แสดงให้เห็นว่ากฎหมายที่จะต้องตีความนั้นได้แก่กฎหมายลายลักษณ์อักษร และแบ่งการตีความออกเป็น 2 ประการ ได้แก่ การตีความตัวอักษร และการตีความตามเจตนารมณ์ประการหนึ่ง. การตีความตามตัวอักษรประการหนึ่ง เพื่อให้หยั่งทราบความหมายของกฎหมายจากตัวอักษรที่บัญญัติไว้

๑.๑  ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้ด้วยภาษาธรรมดา ก็ต้องเข้าใจว่ามีความหมายตามธรรมดาของถ้อยคํานั้น ๆ ตามที่บุคคลทั่วไปเข้าใจกัน ในกรณีมีข้อสงสัยว่า ถ้อยคํานั้น ๆ มีความหมายว่าอย่างไร ก็ต้องค้นหาความหมายจากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน  ซึ่งศาลมักใช้เป็นหลักในการตีความมาเกือบร้อยปีแล้ว หรือค้นหาจากบทบัญญัติที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษ ดังกรณีของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ซึ่งในชั้นต้นร่างขึ้นเป็นภาษาอังกฤษแล้วจึงแปลเป็นภาษาไทย ตัวอย่าง เช่น คําว่า “แพแปลมาจากคําว่า “floating house” ซึ่งหมายถึงเรือนแพ หรือคําว่า “อสังหาริมทรัพย์แปลมาจากคําว่า “immovable property” ซึ่งแปลว่าทรัพย์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้ หรือ “สังหาริมทรัพย์” แปลมาจากคําว่า “movable property” ซึ่งหมายถึงทรัพย์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้ เป็นต้น ที่สําคัญอีกประการหนึ่งคือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ ๑ และ ๒บัญญัติใช้เป็นกฎหมายตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๖ ถ้อยคํา สํานวนภาษาไทยเมื่อครั้งรัชกาลที่ ๖ อาจมีความแตกต่างจากภาษาไทยในปัจจุบันบ้าง ดังนั้น การตีความกฎหมายจึงอาจต้องตีความตามความเข้าใจในขณะบัญญัติกฎหมาย

๑.๒ ในกรณีบทบัญญัติกฎหมายใช้ภาษาเทคนิคหรือวิชาการก็ต้องเข้าใจตามความหมายทางเทคนิคหรือวิชาการนั้นๆ เช่น ศัพท์ทางแพทย์ทางเภสัชกรรม ทางวิศวกรรมหรือสถาปัตยกรรม ก็ต้องเข้าใจตามความหมายตามวิชาชีพนั้น ๆ เป็นต้น

๑.๓ ในกฎหมายเองบางครั้งผู้บัญญัติกฎหมายอาจมีความประสงค์ที่จะให้ถ้อยคําบางคํามีความหมายเฉพาะ หรือมีความกว้างกว่าความเข้าใจของบุคคลทั่วไปจึงอาจมีการกําหนดคําวิเคราะห์ศัพท์หรือบทนิยาม (definition) ไว้ เช่น ในมาตรา ๑ (๕) ของประมวลกฎหมายอาญา คําว่า “อาวุธ” หมายความรวมถึงสิ่งซึ่งไม่เป็นอาวุธโดยสภาพ แต่ซึ่งได้ใช้หรือเจตนาจะใช้ประทุษร้ายร่างกายถึงอันตรายสาหัสอย่างอาวุธ ดังนั้น ตามคําวิเคราะห์ศัพท์คําว่า อาวุธ จึงหมายถึง(๑) สิ่งซึ่งเป็นอาวุธโดยสภาพ (๒) สิ่งซึ่งไม่ใช่อาวุธโดยสภาพ แต่ซึ่งได้ใช้ประทุษร้ายแก่ร่างกายถึงอันตรายสาหัสอย่างอาวุธ และ (๓) สิ่งซึ่งไม่ใช่อาวุธโดยสภาพแต่เจตนาจะใช้ประทุษร้ายร่ายกายถึงอันตรายสาหัสอย่างอาวุธข้อพึงระมัดระวัง คือว่า คําวิเคราะห์ศัพท์หรือคํานิยามของกฎหมายใดย่อมใช้ได้เฉพาะกับกฎหมายนั้นเท่านั้น จะนําไปใช้กับกฎหมายอื่นย่อมไม่ได้แนวทางในการค้นหาเจตนารมณ์หรือความมุ่งหมายของกฎหมาย ดูได้จากคําปรารภของกฎหมาย ซึ่งปัจจุบันคําปรารภของกฎหมายมักจะมีข้อความสั้น ๆ ซึ่งไม่สามารถแสดงให้เห็นเจตนารมณ์และความมุ่งหมายของกฎหมายแต่ประการใด เว้นแต่คําปรารภในรัฐธรรมนูญฉบับต่าง ๆ ในอดีต รวมทั้งฉบับปัจจุบันได้แสดงให้เห็นเจตนารมณ์ซึ่งสามารถนําไปใช้ตีความบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญฉบับนั้น ๆ ได้บ้างบางครั้งการค้นหาเจตนารมณ์หรือความมุ่งหมายของกฎหมาย อาจดูได้จากบันทึกหลักการและเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติ ตลอดบันทึกของรัฐสภาในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินั้น ๆ โดยเฉพาะบันทึกของรัฐสภาในวาระการพิจารณาเรียงมาตราประการสุดท้าย การค้นหาเจตนารมณ์ของกฎหมาย อาจทราบได้จากหมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติอย่างไรก็ตาม ตามปกติการตีความกฎหมายจะต้องเป็นการตีความทั้งตัวอักษรและตามเจตนารมณ์เสียก่อน เพื่อหยั่งทราบความมุ่งหมายอันแท้จริงของกฎหมาย หากการตีความทั้งสองนั้นมีความขัดแย้งกัน ต้องถือเอาการตีความตามเจตนารมณ์เป็นใหญ่

            ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดจากกฎหมายปัจจุบันและกฎหมายโบราณ เช่น ตามพระราชบัญญัติต่างๆ
ยกตัวอย่าง พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. ๒๕๓๙  ซึ่งมีเจตนารมณ์ของกฎหมายระบุไว้ดังนี้

หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่พระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. ๒๕๐๓ ได้ประกาศใช้บังคับมาเป็นเวลานาน บทบัญญัติที่มีอยู่โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทกำหนดโทษไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน และโดยที่การค้าประเวณีมีสาเหตุสำคัญมาจากสภาพเศรษฐกิจและสังคม ผู้กระทำการค้าประเวณีส่วนมากเป็นผู้ซึ่งด้อยสติปัญญาและการศึกษา สมควรลดโทษผู้กระทำการค้าประเวณี และเปิดโอกาสให้บุคคลเหล่านั้นได้รับการคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นการให้การอบรมฟื้นฟูจิตใจ การบำบัดรักษาโรค การฝึกอบรมและพัฒนาอาชีพตลอดจนพัฒนาคุณภาพชีวิตและในขณะเดียวกันเพื่อเป็นการปราบปรามการค้าประเวณีและเพื่อคุ้มครองบุคคลโดยเฉพาะเด็กและเยาวชนที่อาจถูกล่อลวงหรือชักพาไปเพื่อการค้าประเวณี สมควรกำหนดโทษบุคคลซึ่งกระทำชำเราโสเภณีเด็กในสถานการค้าประเวณี บุคคลซึ่งหารายได้จากการค้าประเวณีของเด็กและเยาวชน และบิดา มารดา หรือผู้ปกครอง ซึ่งมีส่วนร่วมรู้เห็นเป็นใจในการจัดหาผู้อยู่ในความปกครอง ไปเพื่อการค้าประเวณีกับให้อำนาจศาลที่จะถอนอำนาจปกครองของบิดา มารดา หรือผู้ปกครองของผู้กระทำความผิดซึ่งเป็นเด็กเพราะเหตุที่มีส่วนร่วมรู้เห็นเป็นใจให้ผู้อยู่ในความปกครองกระทำการค้าประเวณี นอกจากนั้น ในปัจจุบันปรากฏว่าได้มีการโฆษณาชักชวนหรือแนะนำตัวทางสื่อมวลชนในลักษณะที่เห็นได้ว่าเป็นการเรียกร้องการติดต่อในการค้าประเวณีกันอย่างแพร่หลาย สมควรกำหนดให้การกระทำดังกล่าวเป็นความผิด จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
            เมื่อย้อนกลับไปดูในอดีต การค้าประเวณีไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมายและไม่ใช่เรื่องผิดศีลธรรม เพราะมิเช่นนั้น คงไม่มีโสเภณีที่บรรลุพระอริยบุคคลในขั้นต่างๆ [2] ในสมัยพุทธกาล มีหญิงโสเภณีที่บรรลุอรหันตผลหลายท่านด้วยกัน นอกจากนางสิริมาที่บรรลุโสดาบันแล้ว ได้แก่
๑) นางอัมพปาลี : เกิดใต้ต้นมะม่วงในอุทยานของพระราชาในเมืองไพศาลี ได้รับการเลี้ยงดูจากผู้ดูแลส่วนมะม่วง จึงได้มีชื่อว่า “อัมพปาลี” แปลว่าผู้ดูแลสวนมะม่วง เมื่อเติบโตขึ้นเป็นผู้ที่มีรูปร่างหน้าตาดี และมีความสามารถในด้านดนตรีและนาฏศิลป์ จึงได้หันไปเอาดีในการประกอบอาชีพโสเภณี ครั้งหนึ่ง เธอทราบว่าพระพุทธเจ้าได้เสด็จไปยังโกฏิคาม จึงต้องการไปเฝ้าเพื่อฟังธรรม หลังจากได้เฝ้าและฟังธรรมแล้ว เกิดความเลื่อมใสจึงได้นิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมทั้งภิกษุสงฆ์ไปฉันภัตตาหาร ต่อมาเจ้าลิจฉวีได้เข้ามานิมนต์พระพุทธเจ้าเช่นเดียวกัน แต่พระองค์ไม่ทรงรับเพราะได้รับนิมนต์จากนางอัมพปาลีไว้แล้ว ตรงนี้แสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงให้ความเสมอภาคแก่คนทุกชนชั้นและสาขาอาชีพ มิได้เลือกว่าผู้นิมนต์จะเป็นคนชั้นใด และมิได้ดูถูกบุคคลผู้นั้นประกอบอาชีพโสเภณี ต่อมาเธอได้บวชเป็นภิกษุณีและได้เป็นพระอรหันต์ในที่สุด ต่อมาเธอได้ถวายสวนมะม่วงให้เป็นวัดในพระพุทธศาสนา ชื่อว่า “อัมพปาลีวัน” อีกด้วย
๒) นางอัฑฒกาสี : เป็นลูกสาวเศรษฐีชาวเมืองพาราณสี แคว้นกาสี ได้เป็นโสเภณีเพราะวิบากกรรมในอดีตชาติต่อมาเกิดเบื่อหน่ายในชีวิตฆราวาส ต้องการบวชจึงเดินทางไปยังเมืองสาวัตถี ระหว่างทางนั้นมีพวกนักเลงซุ่มอยู่ จึงไม่สามารถเดินทางไปถึงเมืองสาวัตถีได้ พระพุทธองค์ทรงทราบข่าว จึงทรงอนุญาตให้บวชโดยการส่งทูตไปเป็นตัวแทน เรียกการบวชแบบนี้ว่า “ทูเตนอุปสัมปทา” เธอเป็นภิกษุณีเพียงรูปเดียวที่บวชด้วยวิธีนี้ เมื่อเธอได้บวชเป็นภิกษุณีแล้วปฏิบัติธรรมไม่นานก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในที่สุด
๓) นางปทุมาวดี : เป็นโสเภณีอยู่ในเมืองอุชเชนี พระเจ้าพิมพิสารกษัตริย์แห่งกรุงราชคฤห์ทรงทราบกิตติศัพท์จึงเสด็จไปเสวยสุขกับเธอ ต่อมาเธอก็ตั้งครรภ์ พระเจ้าพิมพิสารจึงรับสั่งว่า หากเด็กในท้องเป็นผู้ชาย เมื่อโตขึ้นให้นำไปเฝ้าที่กรุงราชคฤห์ เธอคลอดลูกเป็นชาย ได้ตั้งชื่อว่า “อภัย” และได้ส่งไปเฝ้าพระเจ้าพิมพิสารในเวลาต่อมา พระองค์ทรงเลี้ยงเด็กคนนี้เช่นเดียวกับพระโอรสองค์อื่นๆ ต่อมาอภัยได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนา มีโอกาสได้เทศน์โปรดมารดาคือนางปทุมาวดี มารดาได้ฟังแล้วมีศรัทธาอย่างแรงกล้า จึงได้ออกบวชเป็นภิกษุณีและสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในเวลาต่อมา
๔) นางวิมลา : เกิดที่เมืองไพศาลี มารดาเป็นโสเภณี เมื่อโตเป็นสาว วันหนึ่งได้เห็นพระมหาโมคคัลลานะเดินบิณฑบาตอยู่ ได้เกิดหลงรักพระมหาโมคคัลลานะ จึงเดินตามไปจนถึงกุฏิแล้วพยายามหาเรื่องสนทนาด้วยเพื่อยั่วยวนท่าน แต่ท่านเป็นพระอรหันต์จึงไม่หวั่นไหวและทราบเจตนาของเธอ จึงเตือนเธอจนเธอได้สติ เธอรู้สึกอับอายกับพฤติกรรมที่แสดงออกมา จึงเลิกประกอบอาชีพโสเภณีตั้งแต่นั้นมา ต่อมาได้ออกบวชเป็นภิกษุณีและได้บรรลุอรหัตผล

            ในอดีต   ประเทศไทยเราก็เคยเปิดให้มีการค้าประเวณีโดยถูกต้องตามกฎหมาย   นโยบายและกฎหมายเกี่ยวกับการค้าประเวณีของไทยเพิ่งจะเริ่มขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทร์รมหาจุฬาลงกรณ์ โดยพระองค์ได้ทรงตราพระราชบัญญัติฉบับหนึ่ง ชื่อ "พระราชบัญญัติป้องกันสัญจรโรค รัตนโกสินทรศก ๑๒๗ เหตุผลในการประกาศใช้มีว่า
"...ด้วยทรงพระราชดำริเห็นว่า ทุกวันนี้หญิงบางจำพวกประพฤติตนอย่างที่เรียกว่าหญิงนครโสเภณี มีหัวหน้ารวบรวมกันตั้งโรงหาเงินขึ้นหลายตำบล แต่ก่อนมาการตั้งโรงหญิงนครโสเภณี นายโรงช่วยไถ่หญิงมาเป็นทาสรับตั๋วจากเจ้าภาษีแล้วตั้งเป็นโรงขึ้น ครั้นต่อมาได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลิกทาสเสียแล้ว หญิงบางจำพวกที่สมัครเข้าเป็นหญิงนครโสเภณีก็รับตั๋วจากเจ้าภาษีแล้วมีหัวหน้ารวบรวมกันตั้งขึ้นในท้องที่โรงอันควรบ้างมิควรบ้าง กระทำให้มีเหตุเกิดการวิวาทขึ้นเนือง ๆ อีกประการหนึ่ง หญิงบางคนป่วยเป็นโรคซึ่งอาจจะติดต่อเนื่องไปถึงผู้ชายที่คบหาสมาคมได้ ก็มิได้มีแพทย์ตรวจตรารักษาโรคร้ายนั้น อาจจะติดเนื่องกันไปจนถึงเป็นอันตรายแก่ร่างกายและชีวิตมนุษย์เป็นอันมาก และยังหาได้มีกฎหมายและข้อบังคับอย่างใดสำหรับจะป้องกันทุกข์โทษภัยแห่งประชาราษฎรทั้งหลายเหล่านี้ไม่ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้สืบไปดังนี้..."

สาระสำคัญของพระราชบัญญัติป้องกันสัญจรโรค รัตนโกสินทรศก ๑๒๗ มีว่า หญิงนครโสเภณีให้เป็นได้แต่โดยใจสมัคร ใครจะบังคับผู้อื่นหรือล่อลวงมาให้เป็นหญิงนครโสเภณีมิได้เลย มีโทษตามพระราชกำหนดลักษณะข่มขืนล่วงประเวณี รัตนโกสินทรศก ๑๑๘

แต่ พระราชบัญญัติปราบปรามการค้าประเวณีตามกฎหมายปัจจุบัน มีขึ้นเพื่อปกป้องคุ้มครองโสเภณีเด็ก หรือผู้ถูกล่อลวงมาเป็นโสเภณี โดยไม่ได้แยกแยะว่า โสเภณีที่ไม่ใช่โสเภณีเด็ก และเป็นโสเภณีด้วยความสมัครใจ ควรจะถูกแยกไว้ และมีการขึ้นทะเบียน ตรวจโรค จ่ายภาษี เมื่อโสเภณีเป็นอาชีพที่ต้องหลบซ่อน รายได้ของหญิงโสเภณีจึงเป็นรายได้ที่ไม่อยู่ในขอบข่ายแห่งการเสียภาษีด้วย ไม่เป็นไปตามหลักการขยายฐานภาษีที่ดี การขยายฐานภาษีที่ดีต้องเป็นการขยายฐานภาษีในแนวราบ คือนำบุคคลที่อยู่นอกระบบภาษีเข้ามาในระบบภาษีให้มากที่สุด มิใช่การขยายในแนวดิ่งอย่างที่กฎหมายภาษีอากรของเราเป็นอยู่ในทุกวันนี้ นอกจากนี้เมื่อโสเภณีถูกโกงค่าตัว กลับเรียกร้องอะไรไม่ได้เลย หากนำความเข้าแจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจ ก็จะถูกจับด้วยข้อหาค้าประเวณี  เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป แนวคิดเริ่มเปลี่ยน   จุดเปลี่ยนที่ทำให้ประเทศไทยหันมาปิดกั้นการค้าประเวณีน่าจะได้รับอิทธิพลมาจากกลุ่ม NGO ที่เห็นว่า มนุษย์ไม่ใช่ทรัพย์ ไม่สามารถซื้อขายกันได้ แต่ทั้งนี้ พวกเขาไม่ได้คำนึงว่า หญิงโสเภณีไม่ได้ขายความเป็นมนุษย์ แต่ขายบริการเหมือนช่างตัดผม หมอนวดแผนโบราณ หรือแม้แต่แพทย์ ทนายความ ก็เป็นการขายบริการมิใช่ขายสินค้าแต่อย่างใด

ในสมัยพุทธกาล ก่อนพระพุทธเจ้าจะทรงบัญญัติพระวินัย จะทรงประกาศเจตนารมณ์ด้วยการติเตียนภิกษุต้นบัญญัติก่อน  การติเตียนเช่นนั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อชี้ในข้อผิด และเหตุผลที่ไม่ควรกระทำ เพื่อให้เป็นแนวทางแก่พระวินัยธรในการพิจารณาปรับอาบัติตามพระวินัยต่อไป ยกตัวอย่างเช่น
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า[3] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุณีถุลลนันทารู้อยู่ว่าภิกษุณีล่วงอาบัติปาราชิก ไฉนจึงไม่โจทด้วยตน ไม่บอกแก่คณะ การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใส ของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว โดยโดยที่แท้ การกระทำของเธอนั่น เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว ...

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกภิกษุณี จงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ว่า ดังนี้ พระบัญญัติ
อนึ่ง ภิกษุณีใด รู้อยู่ว่าภิกษุณีล่วงอาบัติปาราชิก ไม่โจทด้วยตน ไม่บอกแก่คณะ ในเวลาที่ภิกษุณีนั้นยังดำรงเพศอยู่ก็ดี เคลื่อนไปแล้วก็ดี ถูกนาสนะแล้วก็ดี ไปเข้ารีดเดียรถีย์เสียก็ดี ภายหลังนางจึงบอกอย่างนี้ว่า แม่เจ้า เจ้าข้า เมื่อก่อนดิฉันรู้จักภิกษุณีนั่นได้ดีทีเดียวว่า นางเป็นพี่หญิง น้องหญิง มีความประพฤติเช่นนี้และมีความประพฤติเช่นนี้แต่ดิฉันไม่โจทด้วยตน ไม่บอกแก่คณะ แม้ภิกษุณีนี้ก็เป็นปาราชิก ชื่อวัชชปฏิจฉาทิกาหาสังวาสมิได้.

การเขียนคำพิพากษา ควรเขียนโดยระบุเจตนารมณ์ของกฎหมายประกอบการวินิจฉัยการกระทำของจำเลยทุกครั้งว่าผิดหรือไม่ผิดด้วยเหตุใด คำพิพากษาเช่นนั้นจึงถือเป็นคำพิพากษาที่เจือสมตามหลักนิติธรรม น้อยนักที่เราจะเห็นคำพิพากษาฎีกาอธิบายการกระทำความผิดของจำเลยว่าผิดหรือไม่ผิดด้วยเหตุผลที่ประกอบด้วยเจตนารมณ์ของกฎหมาย ถ้าเจตนารมณ์ของกฎหมายไม่สำคัญ กฎหมายแต่ละฉบับจะมีการประกาศเจตนารมณ์ไว้เพื่อเหตุผลใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่10848/2553 พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ.2522 มาตรา 64 มุ่งหมายที่จะควบคุมผู้ขับรถบนทางหลวงหรือทางสาธารณะ การที่จำเลยขับรถกระบะภายในบริเวณโรงเรียนบ้านคลองสุดซึ่งมิใช่บนทางหลวงหรือทางสาธารณะที่กำหนดให้รถสัญจรไปมา แม้จำเลยจะไม่ได้รับใบอนุญาตขับรถ การกระทำของจำเลยก็ไม่ต้องด้วยองค์ประกอบความผิดดังกล่าว
จะเห็นว่า คำพิพากษาฎีกาฉบับนี้ ศาลฎีกาอาศัยเจตนารมณ์ของกฎหมายเพื่อวินิจฉัยการกระทำของจำเลย ซึ่งเป็นการถูกต้องตามระเบียบวิธีการเขียนคำพิพากษา และเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการศึกษาของนักเรียนกฎหมาย




[1] การใช้และการตีความกฎหมาย , Lw 102 , โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง
[2] ''พุทธจริยศาสตร์กับปัญหาโสเภณี'' , พระมหาสมบูรณ์ วุฑฺฒิกโร
[3] พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๓ ภิกขุนีวิภังค์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น