
การบัญญัติพระวินัย เปรียบเทียบการตรากฏหมายทั้งในอดีตจนถึงปัจจุบัน ตอนที่ 2
ในบทความแรก ได้กล่าวถึงขั้นตอนการนำข้อติเตียนขึ้นทูลฟ้องพระพุทธเจ้า ซึ่งในยุคปัจจุบันนี้คือการยื่นร่างกฏหมายเข้าสู่สภานั่นเอง
การบัญญัติพระวินัยเรื่องแรก มีเหตุจากพระสุทินน์ เมื่อได้ออกบวชแล้วได้ไปเสพเมถุนธรรมกับภรรยาเก่าของตน ตามที่พ่อแม่ขอร้อง เพื่อให้มีบุตรไว้สืบสกุล เนื่องจาก พระสุทินน์ไม่ยอมกลับมาเป็นคฤหัสถ์ตามที่พ่อแม่ขอร้อง โดยอ้างว่า ถ้าพระสุทินน์ไม่มีทายาทไว้พวกเจ้าลิจฉวีจะริบทรัพย์สมบัติของครอบครัวไป เนื่องจากหาบุตรผู้สืบสกุลไม่ได้ พระสุทินน์เห็นว่าการกระทำดังกล่าวไม่มีโทษ เพราะสิกขาบทยังมิได้บัญญัติไว้ ทั้งที่ตนไม่ได้มีความเต็มใจจึงได้เสพเมถุนธรรมกับภรรยาเก่าของตน จนนางตั้งครรภ์และได้คลอดบุตรมาชื่อว่า พีชกะ ความด่างพร้อยดั่งกล่าวสะเทือนไปทั่วถึงพรหมโลกด้วยเสียงติเตียนของเหล่าเทวดา แม้ตัวพระสุทินน์เองก็มิได้มีความสบายใจ กลับมีความรู้สึกเดือดร้อนใจ จึงได้ปรึกษาความกับเพื่อนภิกษุ เพื่อนภิกษุต่างพากันติเตียนและนำความขึ้นทูลพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าจึงมีรับสั่งให้ประชุมสงฆ์ แล้วไต่สวนถามพระสุทินน์ว่าความเป็นเช่นนั้นจริงหรือ พระสุทินน์ก็รับว่า "จริง พระพุทธเจ้าค่ะ"
ในส่วนนี้ ถ้านำมาเทียบกับการบัญญัติกฏหมายสมัยโบราณของเรา จะเห็นได้ชัดในคดีที่โด่งดังในวงนักเรียนกฏหมายคือ คดี "อำแดงป้อมฟ้องหย่านายบุญศรี" โดยเนื้อหาใจความสั้นๆ ว่า อำแดงป้อมฟ้องหย่านายบุญศรีโดยไม่มีสาเหตุ ศาลพิพาษาให้หย่า นายบุญศรีจึงนำความขึ้นร้องทุกข์ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑ ความว่า ตนนั้นหาผิดมิได้ แต่อำแดงป้อมเป็นชู้แล้วยังมาฟ้องหย่าตน ทั้งผู้พิพากษาในคดีนั้นก็เกิดฉันทาคติชอบพออำแดงป้อม จึงพิพากษาให้หย่า พระองค์จึงทรงมีรับสั่งให้ไต่สวนความจริงโดยนำกฏหมายทั้งสามฉบับมาสอบทานกัน
ในขั้นตอนนี้ ถ้าเป็นการบัญญัติกฏหมายในยุคปัจจุบัน เราเรียกว่าขั้น "รับหลักการและแปรญัตติ" คืออยู่ในระหว่างการพิจารณาเพื่อแก้ไขหรือลงมติในภายหลังหากเห็นชอบด้วยร่างกฏหมายฉบับนั้นนั่นเอง
ในตอนต่อไป เป็นตอนที่น่าสนใจมาก เพราะครูยังไม่เคยเห็นมีใครกล่าวถึงขั้นตอนนี้ในงานวิชาการต่างๆ หรือการเรียนการสอนในชั้นเรียนของทางพุทธศาสนาเลย คือขั้น "ประกาศเจตนารมณ์ของกฏหมาย" ซึ่งเป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากการบังคับใช้กฏหมายในภายหลังจะต้องพิจารณาเจตนารมณ์ของกฏหมายประกอบในการตีความด้วยเสมอ และเป็นที่น่าสนใจว่า ขั้นตอนนี้ ไม่มียุคสมัยใดข้ามไปเลย ตั้งแต่พุทธกาลจนถึงปัจจุบัน ครูจะอาศัยคดีพระสุทินน์ และอำแดงป้อม รวมถึงกฏหมายปัจจุบันชี้ให้เห็นชัดในบทความต่อไป /ครูนัท
อ้างอิง
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑
มหาวิภังค์ ภาค ๑ ปาราชิกกัณฑ์ ปฐมปาราชิกสิกขาบท เรื่องพระสุทินน์
ประกาศพระราชปรารภ ประชุมประกาศรัชกาลที่ ๑ กฏหมายตราสามดวง
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศง.๒๕๕๐

การบัญญัติพระวินัย เปรียบเทียบการตรากฏหมายทั้งในอดีตจนถึงปัจจุบัน ตอนที่ 1
การบัญญัติพระวินัยของพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้า ไม่ทรงบัญญัติสิกขาบทใดไว้ล่วงหน้าเมื่อยังไม่มีเหตุที่ควรบัญญัติ ซึ่งลักษณะนี้มีลักษณะเดียวกันกับการบัญญัติกฏหมาย แม้พระสารีบุตรจะทูลขอให้ทรงบัญญัติสิกขาบท พระพุทธเจ้าก็ทรงปฏิเสธโดยให้รอก่อน จนเมื่อมีเหตุอันควรคือ มีผู้ติเตียนภิกษุในธรรมวินัยนี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านติเตียน หรือภิกษุด้วยกันติเตียน และนำความขึ้นทูลพระพุทธเจ้าโดยภิกษุผู้ติเตียนเอง หรือภิกษุผู้ได้ยินเรื่องราวมาก็ดี ในขั้นตอนนี้มักมีการเปรียบเทียบว่าภิกษุผู้นำความขึ้นทูลฟ้อง เสมือนเป็นพนักงานอัยการในสมัยปัจจุบัน ซึ่งไม่ถูกต้อง
เพราะเหตุว่าขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนการบัญญัติกฏหมายในขั้นตอนการเสนอร่างกฏหมายต่อรัฐสภาในปัจจุบัน มิใช่ขั้นตอนการออกกฏหมายที่มีผลบังคับแล้วเกิดการกระทำความผิด การที่มีผู้ขาดความรู้ด้านกฏหมาย เปรียบเทียบขั้นตอนนี้เช่นนี้ ทำให้ขัดหลักกฏหมายสากล รัฐธรรมนูญมาตรา 39 และประมวลกฏหมายอาญามาตรา 2
มาตรา 39 บุคคลไม่ต้องรับโทษอาญา เว้นแต่ได้กระทําการอันกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่ กระทํานั้นบัญญัติเป็นความผิดและกําหนดโทษไว้ และโทษที่จะลงแก่บุคคลนั้นจะหนักกว่าโทษที่ กําหนดไว่ในกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่กระทําความผิดมิได้
มาตรา 2 บุคคลจักต้องรับโทษในทางอาญาต่อเมื่อได้กระทำการ อันกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำนั้นบัญญัติเป็นความผิดและกำหนด โทษไว้และโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดนั้น ต้องเป็นโทษที่ บัญญัติไว้ในกฎหมาย
ซึ่งหลักสากลทั่วโลกยืนยันหลักเดียวกันว่า
"ไม่มีโทษถ้าไม่มีกฎหมายกำหนด" (ละติน: nulla poena sine lege, นุลลาโพนาซีเนเลเก) เป็นภาษิตภาษาละตินทางกฎหมายและหลักกฎหมายซึ่งเป็นที่ยอมรับและถือปฏิบัติเป็นหลักการสากลว่า จะมีโทษสำหรับผู้กระทำการอันไม่ต้องห้ามตามกฎหมายมิได้
ภาษิต "ไม่มีความผิดถ้าไม่มีกฎหมายกำหนด" (ละติน: nullum crimen sine lege)
ทั้งสองมาจากภาษิตเต็มว่า "ไม่มีความผิดและไม่มีโทษถ้าไม่มีกฎหมายกำหนดไว้ก่อน" (ละติน: nullum crimen, nulla poena sine praevia lege poenali) อันเป็นหลักที่ถือปฏิบัติกันเคร่งครัดว่า ในทางอาญากฎหมายจะมีผลย้อนหลังไม่ได้ เว้นแต่ย้อนหลังไปเป็นคุณแก่ผู้ต้องโทษ
ภาษาอังกฤษคือ No crime no punishment without law ไม่มีความผิด ไม่มีโทษ ถ้าไม่มีกฏหมาย หรือจะแปลเป็นสำนวนไทยว่า "ไม่มีกฏหมายก็ไม่มีความผิดเมื่อไม่มีความผิด ก็ไม่มีโทษ"
สำหรับกฎหมายของประเทศเยอรมนีนั้นรับรองหลัก "ไม่มีโทษถ้าไม่มีกฎหมายกำหนด" โดย ชตรัฟเกเซทซ์บุคส์ (เยอรมัน: Strafgesetzbuches) หรือ ประมวลกฎหมายอาญาเยอรมัน บัญญัติไว้ในบททั่วไป, หมวด 1 กฎหมายอาญา, ลักษณะ 1 การใช้ เขตอำนาจโดยเหตุผลแห่งดินแดนและพฤติการณ์ ดังนี้
"Section 1. (No punishment without law) An act may only be punished if criminal liability had been established by law before the act was committed.
จะเห็นว่าสากลทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย จะใช้หลักเดียวกันหมดคือ "กฏหมายอาญาไม่มีผลย้อนหลังเป็นโทษแก่ผู้กระทำความผิด"